image alt image alt

บทความ

ที่มาคำว่า”เบเกอรี่” (Bakery)

ที่มาคำว่า”เบเกอรี่” (Bakery)

ความหมายและประวัติของเบเกอรี่

 คำว่า”เบเกอรี่” (Bakery) แปลตามรากศัพท์ที่พจนานุกรมส่วนใหญ่แปลไว้คือ โรงทำขนมปัง

  1. สถานที่ผลิตและขายขนมปัง เพสตรี้ และอื่นๆ
  2. ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ หรือผลิตภัณฑ์ขนมอบ เช่น ขนมปัง เพสตรี้

ดังนั้นตามความเข้าใจของคนทั่วไปแล้ว เบเกอรี่หมายถึงผลิตภัณฑ์ขนมอบที่ทำจากแป้งสาลี ที่มีเทคนิคการทำโดยเฉพาะ และได้มีการพัฒนาเป็นลำดับ

ประวัติความเป็นมาของเบเกอรี่

            ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ชนิดแรกซึ่งแพร่หลายและได้รับความนิยมจากผู้บริโภค คือ ขนมปัง และได้ชื่อว่าเป็นผลิตผลเพื่อยังชีวิต เป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความอบอุ่น และความปลอดภัยมานานตั้งแต่สมัยคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ยังไม่มีใครกล้ายืนยันว่าผู้ใดทำขนมปังเป็นคนแรกเท่าที่เล่ากันต่อๆ มาว่า ชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบในยุคหินเป็นผู้ริเริ่มนำเมล็โข้าวสาลีมาบดโดยใช้ครกหยาบๆ ตำแล้วนำไปผสมน้ำ เทส่วนผสมนี้ลงไปบนหินร้อนๆ เพื่อให้สุก ผลที่ได้ก็คือ ขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งค้นพบมากกว่า 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ประวัติที่ยอมรับสืบเนื่องกันมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือพวกทาสในสมัยราชวงศ์อียิปต์ ได้ผสมก้อนแป้งที่ลืมทิ้งไว้ลงไปในแป้งผสมใหม่มๆ ผลก็คือได้ขนมปังที่เบาและเลิศรส

 ความรู้เกี่ยวกับการทำขนมปังได้แพร่หลายจากอียิบต์ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ แถบเมดิเตอเรเนียนในกลุ่มเยรูซาเล็มโบราณ รวมทั้งเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่บนเส้นทางค้าขายของพวกตะวันออกกลางการทำผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งยุคนั้นขนมปังที่ผลิตออกมาจะมีขนาเล็ก ซึ่งละม้ายคล้ายกับขนมปังโรลของเราในปัจจุบัน คนโบราณส่วนมากนิยมใช้ขนมปังแบนๆ ที่ไม่ทิ้งให้ขึ้นฟูในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีทางศาสนา และพวกชาวเขาจูดีน ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ก็นิยมขนมปังประเภทนี้อยู่ เนื่องจากไม่คุ้นกับอารยธรรมแผนใหม่

 พวกกลุ่มพ่อค้าชาวโพนิเซียน เป็นพวกแรกที่เผยแพร่การทำขนมปังในขณะที่พวกเขามุ่งไปค้าขายทางตะวันออก ไปยังเปอร์เชียและไกลกว่านั้น และดูเหมือนว่าพวกยุคกรีกยุคแรก ได้เรียนรู้การทำขนมปัที่ขึ้นฟูมาจากพวกกลุ่มโพนิเชียนในปี 1,000 ก่อนคริสตกาล

ในศตวรรษต่อมา วิวัฒนาการในศิลปะการทำขนมปังก้าวหน้ามาก พวกกลุ่มก้าวหน้ากรีกได้คิดประดิษฐ์หินโม่แป้งจากข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์แป้งออกมาถึง 4 ชนิด ซึ่งชนิดหนึ่งนั้นเ็นแป้งขาว (White flour) ได้ดัดแปลงเตาอบแบบอียิปต์โบราณมาเป็นเตาอบแบบใช้อิฐก่อเป็นรูปโดมซึ่งมีปรสิทธิภาพยิ่งขึ้น พวกกรีกนั้นใช่แต่จะเป็นผู้ผลิตขนมปังขาวที่มีคุณภาพดีเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังได้ผลิตขนมเค้ก และขนมนานาชนิด โดยใช้ส่วนผสมของนม น้ำมัน เหล้า ไวน์ เนยแข็ง และน้ำผึ้งผสมเข้าไปด้วย

      ตลอดกาลสมัยเหล่านี้ จากกรีกไปโรม และเลยไปถึงยุโรปตอนกลาง ศิลปะการทำขนมอบดำเนินไปอย่างเชื่อช้า แต่ได้ผลคงที่ ควาเจริญก้าวหน้าอย่างมหาศาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ทำให้เกิดวิวัฒนาการอย่างใหญ่หลวงแก่การทำขนมอบในปัจจุบัน พื้นฐานชองวิวัฒนาการนี้ เนื่องมาจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการ คือ ในกลางปี 1800 ได้มีการแนะนำเกี่ยวกับโรงโม่แป้งสาลี และได้มีการผลิตแป้งสาลีที่ดีออกสู่ตลาด และในตอนปลายศตวรรษนั้นได้มีการใช้ยีสต์ ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่ทำให้ขนมปังขึ้นฟู และมีการใช้อย่างแพร่หลาย

      ในปัจจุบันนี้ การทำขนมอบนั้นนับว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องการความชำนาญเป็นอย่างมาก ในกรณีที่ทำเป็นจำนวนมากเพื่อจำหน่าย จะพบอุปสรรคนานัปการทางด้านเครื่องมือ ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าของการทำขนมอบน้ันหาได้ขึ้นอยู่กับผู้ทำเพียงอย่างเดียวไม่ โรงโม่แป้งซึ่งสามารถผลิตแป้งที่มีคุณภาพดีและผู้คิดประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงเช่นเตาอบที่ทัสมัยและมีประสิทธิภาพเครื่องผสมและเครื่องปั้นให้เป็นรูปแบบ และสุดท้ายก็คือนักประดิษฐ์และ่างเทคนิคที่ได้ทุ่มเทเวลาในการค้นกว้าในเรื่องคุณสมบัติของก้อนแป้งก็มีส่วนที่ช่วยให้อุตสาหกรรมด้านนี้เจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย

ที่มา http://ggambakery12.blogspot.com/2017/09/blog-post.html